วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

ผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต..แก่นแท้ของสมาธิ

การให้โอวาทในเรื่องเกี่ยวกับ แก่นแท้ของสมาธิ 

ของผู้สูงสุดแห่งดาวพลูโต  ที่ผ่านข้อความเสียงมาให้มนุษย์โลกได้รับฟัง  เป็นคำกล่าวง่าย ๆ แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ต้องใช้ปัญญาเห็นธรรม  เห็นธรรมชาติ  ซึ่งเหมาะสมกับการทำงานที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย  ได้เป็นอย่างดี


วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ที่เขากะลา จังหวัดนครสวรรค์


(คุณอภิชาติ) ท่านครับ ท่านจะกรุณาสอนวิธีนั่งสมาธิที่ถูกต้องได้ไหมครับ ?

(ผู้ สูงสุดฯ) เอาอีกแล้ว ไอ้พวกศาสตร์นี้นะ ข้าพเจ้าจะบอกนะ ข้าพเจ้ามาโลกมนุษย์ของเจ้าก็ได้สอดส่อง เพราะข้าพเจ้าก็เป็นผู้หนึ่งที่ปฏิบัติสมาธิ จะเรียกว่าพอสมควรก็ไม่ได้นะ เพราะข้าพเจ้าทำมานาน เพราะอายุมันนาน

เพราะฉะนั้น วิชาสมาธิที่พวกเจ้าได้ร่ำเรียนกันมา ได้มีแนวคิดในการปฏิบัติสมาธิกันมานั้น วิชานั้น ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสอนมี 40 วิธีนั้น นั่นก็เป็นหนึ่งในการฝึกปฏิบัติสมาธิ ตามจริตของดวงจิตของพวกเจ้ากัน

แต่ในค่านิยมของสมาธิ เรียกว่า ค่านิยมการฝึกปฏิบัติสมาธิ ค่านิยมของผู้ปฏิบัติธรรมแล้วสมาธิดี จะต้องถอดญาณ หรือจะต้องมองเห็นในสิ่งที่ตาธรรมดามองไม่เห็น ก็มัวไปเพ่ง ไปฝึกตามค่านิยมกันไป ประโยชน์มันมี แต่มันมีน้อย และพวกเจ้าลองคิดดูว่า เขาฝึกสมาธิกันมา 10 ปี 20 ปี ยังถอดญาณกันไม่ได้เลย แล้วเวลาที่เหลือนิดเดียว ถ้าเจ้าไปฝึกสมาธิในวิธีอย่างนั้นมันจะได้ผลไหม ? ต้องคิดดู


ข้าพเจ้าจะบอกเคล็ดลับของการฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นจุดที่เป็นแก่น จุดแก่นละนะ....

ข้าพเจ้าจะบอกนะ เจ้าเห็นไหม? ไอ้ที่กลม ๆ เจ้าเห็นไหม? ที่เวลาพวกเจ้ายิงธนู หรือปาลูกดอก เรียกว่า เป้าใช่ไหม?
 
เจ้าดูนะ มันจะมีวง ๆ วงนอก...วงที่ 1 วงที่ 2 วงที่ 3 ว งที่ 4 วงที่ 5 แล้วไปถึงจุดตรงกลาง เป็นจุดเล็ก ๆ

เพราะ ฉะนั้น เวลาที่พวกเจ้าปากัน เจ้าก็อยากปาเป้าไปตรงจุดตรงกลาง ๆ ถูกไหม? นั่นเรียกว่า แม่นสุด เด็ดสุด ใช่ไหม? ถ้าใครปาเข้าไปกลางเป้า

เพราะฉะนั้น เจ้าจะให้ข้าพเจ้าสอนวิชาไหน?..... วิชาปาเป้ารอบนอก หรือวิชาปาเป้ากลางแก่น


(ตรงกลางครับ...)

ตรง กลางนะ.... เออ .. ถ้าสอนแล้วนะ อย่าไปเอาวิชาปาเป้านอกแก่นอีกนะ รู้หรือเปล่า เรียนรู้เรื่องแก่นแล้วก็ทำเรื่องแก่นไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นแก่นนั้น คือ สิ่งที่ข้าพเจ้าจะสอนสมาธิที่เป็นแก่นนั้น ฟังกันให้ดีนะ

สิ่งที่เป็นแก่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้สอนสมาธิที่เป็นแก่นนะ เพราะว่าสมาธินั้น มันต้องตามจิต จริตของแต่ละคน มันไม่ได้ให้ใคร มันไม่ได้มีแค่หนึ่งเดียว มันมีหลายอย่าง


แต่วิชาที่มันเป็นแก่นนั้น ก็คือวิชา ลด...ละ...เลิก เจ้าเข้าใจไหม? ไอ้ที่มีอยู่ ลด ละ เลิก

ความ จริงแล้ว การที่เจ้าจะเดินทาง แล้วเจ้าแบกสัมภาระไป กับการที่เจ้าวางสัมภาระเพื่อให้ตัวเจ้าเบานั้น มันง่ายกว่าการที่จะไปยกสัมภาระ เพิ่มสัมภาระใช่ไหม?

แต่ตอนนี้ค่า นิยมของคนที่จะปฏิบัติธรรมของพวกเจ้าเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรม แก่น....ก็คือ ลด ละ เลิก แต่พวกเจ้าปฏิบัติธรรมแล้วต้องไปแบกเอาภาระ ตาทิพย์ หูทิพย์ ต้องไปแบกเอาภาระเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าจะต้องไปแบกเอาภาระ มีวิชาอะไร เห็นโน่น เห็นนี่ จะต้องไปแบกเอาภาระกันทำไม? ถ้าไม่เห็น เขาก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ

เพราะ ฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่เป็นแก่นก็คือ การลดที่มีอยู่ กิเลสที่มีอยู่ลดลงได้ไหม? "ละลง" ได้ไหม?.... การยึดถือที่มีอยู่ ละลงได้ไหม? การปฏิบัติผิดศีลผิดธรรมที่มีอยู่ ... เลิก ได้ไหม? 3 วิธีนี้ พวกเจ้าจะหลุดกันอย่างสบาย ๆ


ถ้า เจ้ามานั่งนึกถึงความจริงนะ อันนี้ข้าใช้ปัญญาของร่างนี้ที่มันอ่านหนังสือชาดก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะเล่าให้พวกเจ้าฟังเป็นตัวอย่าง

....... การที่มีนางคนหนึ่ง เจ้าอาจจะได้เคยอ่านนะ ใครที่เคยอ่านพระไตรปิฎก หรือชาดกน่ะ.... นางคนหนึ่งซึ่งมีสามี และมีบุตร 2 คน แล้วสามีถูกงูกัดตาย แล้วลูก 2 คนก็ต้องมาตาย ด้วยการจมน้ำตาย และการถูกเหยี่ยวคาบเอาไป ชื่อนางอะไรนะ...? ใครตอบได้ ...


(คุณวิโรจน์) นางปตาจาลาครับ....

เจ้า ดูในวาระจิตของคน ๆ นั้น สามีเพิ่งตาย ลูกอีก 2 คน มันทนแทบจะไม่ได้ใช่ไหมจิตใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นบ้า บ้านี่คือเสียสติสัมปชัญญะชั่วครู่ อย่างที่เพื่อนมนุษย์ของพวกเจ้าจะเป็นกันในข้างหน้านี้แหละ เสียสติสัมปชัญญะชั่วครู่ ไม่ใช่คนบ้าถาวรนะ

ในวาระจิตตรงนั้น แต่ในวาระตรงนั้น เจ้าคิดว่าสมาธิของเขาจะมีไหม? สมาธิก็ไม่มี เสียสติคิดถึงลูก คิดถึงสามี กระเซอะกระเซิงเข้ามาในวิหาร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเป็นประธานอยู่ ในเมื่อท่านแผ่บารมีให้ได้สงบสติอารมณ์ได้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้น ในวาระนั้น ก็จะมีแค่สติที่รู้ตัวเองอยู่เท่านั้น การที่จะไปทำสมาธิ ถอดฌาณ หรือว่าจะไปเห็นโน่น เห็นนี่ หรือว่าจะไปเหาะเหินเดินอากาศนั้น คน ๆ นั้นเขาทำได้ไหม? .... เขาทำไม่ได้ เพราะแค่สติตัวเอง แค่ประคองไว้ให้ได้ก็ดีแล้ว

แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงมอบให้เขา นั่นคืออะไร? นั่นคือการเตือนสติเขา การให้ปัญญาบารมีแก่เขา การเทศนาธรรมสั่งสอนให้เขาระลึกรู้ ในพระปัญญาบารมีที่ท่านสอนถูกตรงวาระจิตคน
..............................................................................................


เพราะฉะนั้น คน ๆ นั้น บรรลุธรรมเป็นอะไร? บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ในฉับพลันเลยนะ มันมีความฟลุ๊คได้ไหม? อรหันต์เนี่ย มันฟลุ๊คไม่ได้...

แต่ เกิดจากบุคคลคนนั้น เขาพุ่งเป้าไปตรงแก่น เป้าใหญ่ ๆ นั้น พระพุทธองค์สอนแก่นให้เขา ตรงกับเป้าที่เขาต้องการจะรู้พอดี ด้วยพระปรีชาญาณของท่าน


เพราะฉะนั้น เจ้าอยากได้อะไรล่ะ อยากได้แก่นใช่ไหม? เพราะฉะนั้น การบรรลุธรรม มันไม่ใช่ต้องนั่งสมาธิเชี่ยวชาญจึงจะบรรลุได้ อันนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง

แต่ สิ่งที่บรรลุกันนั้น ในสมัยที่พระพุทธองค์ลงมาโปรดนั้น ก็คือ การใช้ปัญญาไตร่ตรอง และปฏิบัติตามปัญญาที่ไตร่ตรองนั้น ปฏิบัติจริงนั้นก็จะเห็นผลได้ในไม่ช้า

เพราะฉะนั้น สิ่งที่บุคคลนั้นบรรลุได้ ...คือการบรรลุได้ด้วยปัญญาใช่ไหม? เพราะมีปัญญารู้ว่า เออว่า....นี้มันไม่ใช่ลูกของเรา สามีไม่ใช่ของเรา ตัวเราไม่ใช่ของเรา จึงบรรลุธรรมเป็นอรหันต์

..... ถ้าบุคคลฝึกสมาธิ เข้าฌาณแล้วไปอยู่พรหมโลก พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่าพวกเจ้าก็เคยอยู่พรหมโลกกันมาก่อน ก่อนจะมาเวียนว่ายตายเกิดนั้น และไปฝึกสมาธิ เข้าฌาณ บนพรหมโลก .... ไปเท่าทุนทำไม

ข้าพเจ้าให้พวกเจ้าย้อนคิดสักนิดหนึ่งว่า พวกเจ้าจะฝึกสมาธิเพื่อความเชี่ยวชาญ และไปเท่าทุกอยู่พรหมโลกกันทำไม ...เวียนว่ายตายเกิดลงมานี่ไม่เบื่อรึ?

เพราะฉะนั้น .... ปัญญาเท่านั้น.... ตอนนี้มีผู้ที่ชี้แนะปัญญา มีผู้รู้จริงหลายท่านมาชี้แนะปัญญา.... ปัญญาอย่างนี้มันหาไม่ได้


แต่การฝึกสมาธินั้นมันหาได้ ในศาสนาพราหมณ์ก็มี เพราะฉะนั้น การฝึกปฏิบัติตอนนี้ เน้นปัญญา

ใน การฝึกความอดทนในการสร้างบารมีเป็นอันดับที่ 2 รองลงมา มีปัญญาแล้วไม่มีขันติรองรับนั้น มันก็มาไม่ถึงที่เขานี่แหละ เพราะว่ามันต้องใช้ความอดทนมาก

และการฝึกปฏิบัติจิตนั้น พวกเจ้าที่มีวาระจิตตรงกับการฝึกสมาธิแบบไหน ยุบหนอ พองหนอ หายใจเข้า หายใจออก หรือการเพ่งอะไรก็แล้วแต่


แต่ การฝึกปฏิบัติสมาธินั้น ให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองดูว่า สมาธิที่ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัตินี้ เพื่อความสงบแห่งจิตใจในการที่จะได้มีใจที่สงบ และไตร่ตรองในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการบรรลุธรรม ลด ละกิเลส ให้เราคิดกันอย่างนี้นะพวกเจ้า... อย่างนั้นซิ ที่เรียกว่า..... สมาธิที่เป็นแก่น

แต่ถ้าเจ้าฝึกสมาธิหน้าดำคร่ำเครียด เพ่งกสิณ เพ่งแล้วเพ่งอีก ไอ้พวกหมอผีละนะ มันยังถอดญาณมาคุยได้เลย มันสมาธิดีกว่าพวกเจ้าอีก

ถ้า เจ้าจะเอาสมาธิที่เป็นเป้าปลาย ๆ ออกไปนะ ไอ้พวกหมอผีนะ สมาธิมันเก่งนะ มันเพ่งเสียจนมันถอดจิตออกมาได้นะ แต่มันขาดอะไร ? มันขาดปัญญา สมาธิของมันทำให้มันไปสู่นรกขุมที่ลึกที่สุดเพราะอะไร ? เพราะมีสมาธิแต่ไม่มีปัญญา
 

เพราะฉะนั้น พวกเจ้าต้องเอาตัวรอดกันก่อนด้วยปัญญา ประกอบด้วยกันกับสมาธิ จึงจะเป็นสมาธิที่เป็นแก่น

เพราะ ฉะนั้น การนั่งสมาธิครั้งใด พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย.... นึกอยู่ในใจ ข้าพเจ้าขอแค่ความสงบแค่นั้นแหละ ไม่ขอเห็นมนุษย์ต่างดาวในสมาธิ ไม่ขอเห็นตาทิพย์... ไม่เอา ไม่ขอเห็นวิญญาณต่าง ๆ ถ้าการเห็นนั้น นั่นคือส่วนประกอบที่เขามาอนุโมทนาก็แล้วไป แต่จิตจำนงค์ของพวกเจ้าต้องหวังแค่ความสงบของจิตใจ

สมาธิที่เป็น แก่นเป้าหมายใจดำ .... เจ้าดูเป้าในการยิงธนูของเจ้า มีจุดนิดเดียวจึงจะได้รางวัลแจ๊คพ็อต ... แนะนำไปแล้ว บอกไปแล้ว ลด ละ เลิก

การ ลด การวาง การละ การเลิกนั้น ความจริงแล้วมันง่าย แต่สิ่งที่พวกเจ้าทำนั้น .... พวกเจ้าทำของยาก เจ้าต้องไปหามาเพิ่ม เรียกว่า ต้องไปหาแว่นขยายมาใส่ สมาธิที่พวกเจ้าคิดกันอยู่นี้นะ เหมือนหาแว่นมาใส่อีกอันหนึ่ง เอาเพิ่มน้ำหนักไปอีก ดีไม่ดีหากล้องส่องทางไกลเอามาเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีก เฮ้อ... ยังงั้นนะ ค่านิยมของสมาธิ

แต่ผู้ที่ปฏิบัติ ลด ละ เลิก มีปัญญา เขาจะมีอานิสงส์ของสมาธิที่จิตนิ่ง เป็นการเห็นภพวิญญาณต่าง ๆ อย่างเช่น มีทิพยจักขุ นั่นเป็นผลพลอยได้ของสมาธิ

เพราะฉะนั้น เจตน์จำนงค์กับผลพลอยได้ไม่เหมือนกัน เจตน์จำนงค์จะฝึกเพื่อเห็นนั้น เจ้าเสียเวลาเปล่า ๆ แต่เจตน์จำนงค์ฝึกเพื่อลด ละ เลิก และได้เห็นในสมาธิ หรือการมีหูทิพย์ ตาทิพย์ อันนั้นเป็นส่วนประกอบในสิ่งที่เจ้าจะได้ในสิ่งที่เป็นธรรมดา

เพราะ ฉะนั้น การฝึกสมาธิ ฝึกได้ทุกวิธี ไม่มีวิธีไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่าใคร แต่อยู่ที่จริตและวิธี ในการที่เราคิดว่า การที่วิธีเราหายใจเข้า หายใจออกนั้น มันเหมาะสมกับจริตของเราไหม ? ต้องลองทดสอบด้วยจิตใจของเจ้า วิธีนี้ทำแล้วง่วงนอนมาก วิธีนี้ ทำแล้วตาแจ้ง เดินจงกลมก็ได้

จริง ๆ แล้วนะ การลด ละ เลิก ทำไมพระพุทธองค์ท่านไม่บัญญัติวิธีเดียวที่มันเด็ด ๆ ให้พวกเจ้าเลย ก็พวกเจ้ากรรมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ร้อยคนก็ร้อยกรรม แสนคนก็แสนกรรม มันไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น 40 วิธีในสมาธินั้น เป็นวิธีที่ถูกต้อง ท่านบัญญัติไว้เป็นกลาง ๆ ไปศึกษาเอา

ใครที่รัก สวยรักงามมาก ก็ไปเพ่งพิจารณาเอาอสุภะ หรือนึกถึงความดีงาม ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย ทำไมท่านจึงทำอย่างนี้ การนึกถึงความไม่สวยไม่งามของร่างกาย มันไม่ใช่การเข้าฌาณได้ แต่วิธีนี้เป็นการ ลด ละ เลิกได้ เจ้าเข้าใจไหม?
.............................................................................................

เพราะฉะนั้น ทำไม ทำไมถึงมีวิธีนึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวิธีนึกถึงเทวดา ในวิธีนึกถึงพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่วิธีที่จะเข้าฌาณได้ลึกหรอกนะ แต่มันเป็นวิธี เป็นอุบายวิธีที่จะลด ละ เลิกได้

เพราะฉะนั้น เจตน์จำนงค์ของพระพุทธองค์ที่ท่านสอนวิธีละกิเลสอันนี้ คือ..สุดยอดของใบไม้ทั้งป่า.... เหลือวิธีเดียว ละกิเลสแต่พวกเจ้า....พวกเจ้า....พวกเจ้า ปากบอกว่าละกิเลส แต่มันยังมีแอบแฝง อยากจะหาเครื่องมือมาละกิเลส ปากบอกว่า ถือของที่มันถืออยู่นี่นะมันหนัก สัมภาระนี่มันบอกว่าหนัก ......... แทนที่จะวางมันลงไป.... กลับจะหาเครื่องมือมายก มันยุ่ง มันยากนะ มนุษย์นะ ข้าดูแล้วนะ

แต่ ว่าจะไปว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาเรียนรู้ในยุคเสื่อม เจ้าเข้าใจไหม ? พวกเจ้าเรียนรู้วิชายุคเสื่อม เพราะฉะนั้น ใครที่ไปเรียนรู้วิชาที่ผิด ๆ ก็ไปว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาเรียนรู้มาแบบนั้น

เพราะฉะนั้น ค่านิยมของสมาธิในยุคปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ามาเล็งเห็นแล้วในส่วนนี้ ก็จะเป็นส่วนที่เป็นค่านิยมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเจ้าควรทำก็คือ นั่งสมาธิฟังธรรมไปด้วย นั่งสมาธิไปด้วย ธรรมะของภิกษุสาวกที่เจ้าศรัทธา ตามวัดต่าง ๆ ก็ดี พิจารณาธรรมไปด้วย เจ้าจะได้ทั้งสมาธิ ทั้งขันติ ทั้งปัญญาครบถ้วนเลยนะ

เพราะ ฉะนั้น สิ่งนี้คือ .... สิ่งที่ผู้ที่ยังไม่ได้สมาธิในขั้นลึกนั้น ควรจะทำในขั้นแรก เพราะเวลานิดเดียว เจ้าฝึกสมาธิอย่างเดียวไม่มีปัญญานั้น เจ้าก็ไม่ได้สมาธิมากมายอะไร เพราะเวลาเกิดภัยพิบัตินั้นมาถึง เจ้ามีสมาธิได้ในขั้นหนึ่ง แต่ถ้าลูกเจ้า เมียเจ้า หรือว่าลูกหลานเจ้าต้องพลัดพรากจากไป สมาธิเจ้าอยู่ได้ไหม? .. ไม่ได้ ... สมาธิแตก

แต่ถ้าเจ้ามีปัญญาประกอบกับสมาธิด้วย ปัญญารู้หลักกฏแห่งกรรม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้หลักการมาการไปของบุญบารมีลูกหลานเจ้า ของพ่อแม่เจ้า ของสามีภรรยาเจ้า แล้วไตร่ตรอง แล้วทำใจไปตามกฏแห่งกรรม อย่าไปฝืนกระแสกรรม เพราะฉะนั้น เจ้าจะมีสมาธิประกอบกับปัญญา การเสียใจของเจ้ามันจะไม่มากมาย ก็จะไม่บ้าบอไป
สอนแล้วนะ...เดี๋ยวจะหาว่าข้าพเจ้าไม่สอน.